Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บทความพิเศษเนื่องใน “วันแม่”(หนังสือสกุลไทย)

เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับตัวผมเอง
ส่วนดีของเรื่องนี้ก็คือ เมื่ออ่านจบแล้วจะทำให้คนรักและคิดถึงแม่มากขึ้น
ส่วนไม่ดีก็คือ ไม่อยากให้เหตุการณ์เช่นนี้หรือเรื่องนี้เกิดกับใครๆ อีกเลย
มาฟังเรื่องนี้กันดีกว่า...

เมื่อ ๒๐ กว่าปีมาแล้ว ช่วงที่ผมกำลังศึกษาวิชากุมารเวชศาสตร์อยู่ที่คลีฟแลนด์ สหรัฐอเมริกา (ผมเรียนกุมารเวชศาสตร์จบแล้วจึงหันมาสนใจเรียนจิตเวชศาสตร์ต่อไปอีกที่นิวยอร์ก)
ในช่วงนั้นผมทำงานดูแลรักษาคนไข้ไปด้วย และเรียนจากอาจารย์แพทย์ในโรงพยาบาลไปด้วย
ทางโรงพยาบาลมีที่พักให้ฟรีและสุขสบายมาก แถมมีอาหารให้กินอีก ๓ มื้อ (ฟรี) แรกๆ ก็อร่อยดี ต่อๆ ไปก็ชักไม่ค่อยอร่อย ต้องหาเรื่องออกไปกินข้าวข้างนอกกันบ่อยๆ รวมทั้งจ่ายเงินเดือนให้อีกทุกเดือนด้วย
คืนหนึ่ง มีอาจารย์คนหนึ่งอยากเลี้ยงอาหารจีนลูกศิษย์ อาจารย์จึงชวนลูกศิษย์หลายๆ คนไปกินข้าวร้านจีนกันที่ภัตตาคารจีนในย่านตัวเมือง พวกหมอทุกคนมีรถส่วนตัวกันทั้งนั้น จึงต่างขับรถไปกันเอง หาที่จอดกันเอาเอง ผมจอดรถในบริเวณที่จอดรถกลางแจ้งแบบไม่เสียเงิน ลานจอดรถมีไฟฟ้าสว่างไสว แลดูปลอดภัย
เมื่อกินอาหารเสร็จต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับที่พัก
ผมเดินมาที่จอดรถคนเดียว ยังไม่ดึกนักหรอก ประมาณ ๓ ทุ่มเศษๆ ไฟฟ้าก็สว่างไสว เมื่อเดินมาถึงรถ ขณะกำลังไขกุญแจประตูรถ ก็มีวัยรุ่นชายท่าทางเหมือนลูกครึ่งนิโกรปนอเมริกาได้ ๓ คน ปรี่เข้ามาชิดตัว พร้อมทั้งยกปืนขึ้นจี้ที่ศีรษะผม และบอกให้ผมเปิดประตูรถเพื่อจะเข้าไปนั่ง
ผมตกใจกลัวสุดขีด คิดว่าเขาจะจี้เอารถยนต์ไป ตอนนั้นไม่เสียดายรถยนต์หรอก อยากเอาไปก็เอาไป ขอให้ตัวเองมีชีวิตรอดก็พอแล้ว
แต่ปรากฏว่าเขายังไม่ขโมยรถไปทีเดียว กลับบอกให้ผมนั่งคู่ไปกับคนขับ วัยรุ่นคนแรกนั่งในตำแหน่งคนขับ และอีก ๒ คนนั่งเบาะหลัง คนที่ถือปืนก็นั่งเบาะหลังตรงตำแหน่งข้างหลังผมพอดี พร้อมทั้งเอาปืนจี้ศีรษะผมเอาไว้ตลอดเวลา
เขาเริ่มสตาร์ทรถ เปิดเพลงวัยรุ่นตามสมัยนิยมเสียงดังลั่น เขาขับรถออกจากลานจอดรถด้วยความเร็วสูงมากไปตามถนนต่างๆ ที่ผมไม่รู้จัก
ผมตกใจมือเท้าเย็น คิดอะไรไม่ออก เห็นวัยรุ่นสูบบุหรี่กันทุกคน ก็เลยทำใจดีสู้เสือขอบุหรี่เขาสูบมวนหนึ่งซึ่งเขาก็ส่งให้
ผมอัดบุหรี่อย่างแรงหลายทีจนรู้สึกมึนศีรษะ ปกติก็ไม่ได้สูบจริงหรอก นอกจากสูบเล่นๆ แต่วันนั้นรู้สึกว่าอยากสูบบุหรี่ชนิดอัดได้ มันมาก
หลังจากนั้นก็เริ่มพูดคุยกับเขา บอกเขาไปว่าถ้าเขาจะเอารถไปก็เอาไปเถิด แต่อย่าทำร้ายผมเลย อยากได้เงินก็จะให้ พร้อมกับเปิดกระเป๋าเงินหยิบเงินทั้งหมดให้เขา ขอไว้แต่บัตรเครดิตต่างๆ เขาก็รับเงินไป ไม่พูดจาอะไร บางคนก็ตะโกนร้องเพลงเสียงดังแข่งกับเพลงในรถ
ผมก็พยายามตะเบ็งเสียงเพื่อจะคุยกับเขาโดยนึกถึงว่าจะพยายามต่อรองเอาชีวิตรอดให้ได้
ผมลองหยั่งเชิงถามเขาว่า พวกเขาเป็นวัยรุ่นท่าทางดี (ความจริงท่าทางไม่ดีหรอก ผมแกล้งชมไปอย่างนั้นเอง) เขาน่าจะมีแฟน น่าจะไปอยู่กับแฟนในช่วงหัวค่ำอย่างนั้น
คนหนึ่งตะเบ็งตอบกลับมาว่า เขาไม่สนใจหรอก แฟนไม่สำคัญ แล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะแบบหยันๆ
ผมลองถามเขาถึงพ่อของเขาว่า เขามีพ่อไหม เขารักพ่อของเขาไหม พ่อรักเขาไหม
คราวนี้ได้ผลทันทีครับ คนขับหรี่เสียงวิทยุลงทันที ตะโกนตอบเสียงดังฟังชัด เป็นคำด่าพ่อชนิดหยาบๆ และบอกว่าเขาไม่รักพ่อ และพ่อก็ไม่มีความสำคัญสำหรับเขาเลย
ผมรีบถามแบบชวนคุยต่อทันทีว่า แล้ว แม่เล่า เขารักแม่ของเขาไหม? แม่รักเขาไหม
ทั้ง ๓ คนตอบแบบประสานเสียงพร้อมๆ กันว่า รักซิ เขารักแม่แน่ๆ และแม่ก็รักพวกเขาด้วย
ผมเริ่มมีกำลังใจที่จะคุยต่อ ได้บอกเขาไปว่าผมก็มีแม่ รักแม่ และแม่ก็รักผม แบบเดียวกับที่เขารักแม่ และแม่ก็รักเขานั่นแหละ แต่แม่ของผมอยู่ไกลมาก อยู่เมืองไทย ผมเป็นนักศึกษามาเรียนที่นั่น เมื่อเรียนจบแล้วก็จะกลับบ้าน ไม่อยู่หรอกอเมริกา เพราะคิดถึงแม่ แม่ก็คิดถึงผม อยากให้ผมกลับบ้านเมื่อเรียนจบ นี่ถ้าแม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม หรือเกิดอันตรายกับชีวิตผม แม่คงจะตกใจ เสียใจ และเป็นทุกข์มาก อาจถึงช็อกก็ได้ ผมขอให้เขาเห็นใจแม่ที่จะทุกข์มากถ้าอะไรเกิดกับผม
ทั้ง ๓ คนนั่งนิ่งสักครู่ คนขับหันไปพยักหน้ากับคนที่ถือปืนจี้ผมอยู่ ผมได้ยินเสียงกริ๊กๆ คงจะปลดลูกกระสุน คนนั่งข้างหลังส่งปืนให้ผมและบอกว่า
ถือปืนไว้ซิ ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องใช้ปืนจี้ผมแล้ว จากนี้ไปเราเป็นเพื่อนกันได้แล้ว เพราะเรามีบางอย่างเหมือนกัน คือเรารักแม่ และแม่ก็รักเราเหมือนกันเขาพูดพร้อมทั้งหัวเราะ
ผมบอกว่า ถ้าจะเป็นเพื่อนกันก็ไม่ต้องถือปืนหรอก เก็บไว้เถิด (ผมคิดว่าปืนไม่มีลูก แล้วเขาจึงส่งให้เป็นการลองใจ) วัยรุ่นอีกคนหนึ่งกล่าวชวนขึ้นว่ามาฉลองมิตรภาพกันเถิด มากินเบียร์กันดีกว่า ดีไหม?
ผมก็ตอบว่าตามใจซิ ผมก็อยากดื่มเหมือนกัน
เขาจอดรถและคนหนึ่งก็ลงไปซื้อเบียร์มาหลายกระป๋องโดยใช้เงินที่ผมหยิบให้ตอนแรก
เขาขับรถช้าลง ดื่มเบียร์ไป ฟังเพลงไป ตอนนั้นเริ่มดึกแล้ว ผมจึงตีขลุมเตือนเขาว่า พรุ่งนี้เช้าผมต้องตื่นไปเรียนแต่เช้า อยากให้เขาไปส่งที่ไหนสักแห่ง และปล่อยผมกลับพร้อมรถเถิด (เขาไม่เคยบอกว่าเขาจะคืนรถหรือปล่อยผมกลับเลยในระหว่างขับรถไปด้วยกัน ผมจึงตีขลุมกล่าวเอาเอง)
เขาขับรถไปอีกสักพักหนึ่งแล้วก็จอดรถ ทั้ง ๓ คนลงจากรถ และบอกอำลาผมตรงนั้น
ผมรีบมานั่งที่คนขับแล้วขับรถออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว หลงทางอีกพอสมควร แต่หัวใจเต้นเร็วไม่เป็นส่ำ ทั้งกลัว ทั้งดีใจที่รอดตาย ปลอดภัย และได้รถคืน กว่าจะกลับถึงที่พักคืนนั้นก็เกือบเช้า สมองเครียดมาก ร่างกายก็เหนื่อยมาก
รุ่งเช้าเล่าให้เพื่อนบางคนฟัง เขาบอกว่าเคยมีหมอบางคนถูกจี้ชิงรถแบบนี้ก่อนหน้าผมไม่นาน แต่หมอวิ่งหนีเลยถูกยิง ต้องผ่าตัดด่วน แทบเสียชีวิต
หลังจากนั้นผมไม่อยากไปจอดรถกลางคืนในที่จอดรถสาธารณะอีกเลย ถ้าจะจอดรถหรือจะขึ้นรถก็จะดูให้ปลอดคนและปลอดภัย
ที่ผมรอดตาย ปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินตรงนั้นก็ด้วยคำว่า แม่นี่เอง ซึ่งผมถือว่าเป็นปาฏิหาริย์สำหรับชีวิตผม
แม้วัยรุ่น ๓ คนนั้น จะเป็นอันธพาลชอบขโมยรถ แต่เขาก็ยังรักแม่ และแม่ก็รักเขา เมื่อผมพูดถึงคำว่า แม่ขึ้นมา และบอกว่ารักแม่มาก แม่ก็รักผม เหมือนพวกเขา ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเป็นพวก
เหมือนคนที่ชอบของคล้ายๆ กัน หรือรักงานอดิเรกคล้ายๆ กัน หรือมีความศรัทธาในสิ่งเดียวกัน ทำให้เขาเปิดใจรักผมได้ใกล้ชิดพวกเขา และไม่อยากทำร้าย
ผมเคยเล่าให้เพื่อนฟังตอนหลังๆ ที่กลับเมืองไทยแล้ว เพื่อนบอกว่า ก็ผมเป็นจิตแพทย์ จึงรู้วิธีผูกมิตรกับพวกเขาได้
แต่ความจริงไม่ใช่เลย ตอนนั้นผมยังไม่ได้เรียนจิตเวชศาสตร์ ที่พูดหรือทำไปก็เป็นด้วยความพยายามช่วยตัวเองให้รอดชีวิตโดยอัตโนมัติ
หลังจากจบกุมารเวชศาสตร์ แล้วผมมาเรียนจิตเวชศาสตร์ต่อ จึงได้รู้ว่าแม่มีความสำคัญต่อจิตใจของลูกๆ ทุกคนมาก เป็นผู้ที่จะให้ความรักพื้นฐานแก่ลูก (Basic Love) ซึ่งจะทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่นใจและจะให้ความรักผู้อื่นได้ต่อไป
ถ้าลูกคนใดขาดความรักพื้นฐาน ก็จะรักคนอื่นๆ ยาก แต่จะโหยหาอยากให้คนอื่นมารักเขา ทำให้มีลักษณะใจน้อย แสนงอน หรือระแวงผู้คนต่อไป
ในทางจิตเวชศาสตร์ถือว่า แม่เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตของลูก สำคัญยิ่งกว่าพ่อเสียอีก
แม่อุ้มท้องลูกมา ๙ เดือน แม่รู้ดีว่าความรักที่มีต่อลูกเป็นอย่างไร จึงมีคำว่าสัญชาตญาณของความเป็นแม่ที่จะปกป้อง รัก หวงแหนลูกแบบปราศจากเงื่อนไข
ส่วนพ่อนั้นไม่เคยอุ้มท้อง จึงไม่มีคำว่าสัญชาตญาณของความเป็นพ่อ แต่พ่อจะมีความรักอีกแบบหนึ่งที่แตกแต่งจากแม่ คือเป็นความรักที่มีเงื่อนไข ซึ่งสำคัญกับลูกตรงที่จะช่วยสร้างวินัยในตัวลูกได้ดีมาก
ผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟังเลย จวบจนกลับเมืองไทยมาได้หลายปีจึงเล่าให้ฟัง แม่ก็มองหน้าผมยิ้มๆ และพยักหน้า พูดว่า รักษาตัวรอดมาได้ก็ดีแล้วนะลูก
ในขณะนี้แม้ว่าแม่จะจากไปแล้ว แต่ผมก็ยังนึกถึงคำว่าแม่เสมอ
แม่เป็นคำที่มีความศักดิ์สิทธิ์และมีปาฏิหาริย์กับชีวิตผมดังที่เล่ามาแล้ว
และคำว่า รักแม่เป็นคำคาถาที่เป็นมงคลแก่ชีวิตผม ที่ทำให้ผมได้รับมิตรภาพแม้จากคนร้าย และทำให้ผมอยากทำกิจกรรมที่ดีๆ ในชีวิตสืบต่อไป เพราะอยากให้แม่ภูมิใจตลอดไป
แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้ลืมคำว่า พ่อและ รักพ่อซึ่งเป็นคำที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตผมเช่นกัน
ผมชอบคำกล่าวนี้มากคือ การทำให้ลูกนกฟักตัวออกจากไข่นั้น ไม่สำคัญเท่ากับการทำให้นกบินได้แข็งแรงตลอดไปหรอก
แม่มีส่วนทำให้ชีวิตลูกๆ มีความสามารถในการช่วยตัวเอง ช่วยสังคม ให้เข้มแข็งและแข็งแรงได้ตลอดไป เหมือนนกที่ออกจากไข่แล้วสามารถบินได้แข็งแรงตลอดไป
แม่ขอเขียนบทความนี้เพื่อบูชาพระคุณแม่ในวาระ วันแม่ครับ

รายการบล็อกของฉัน