..เรียงความที่เขียนไม่จบ... เรื่องแม่ของฉัน...◄◄░ ♥
จำ ได้แม่นตอนเด็กๆ วันนี้จะเป็นวันพิเศษเสมอ เป็นวันที่คุณครูใจดีมากกว่าทุกวัน เพราะการบ้านของพวกเราทุกคนในชั้นเรียนนั้นจะได้เขียน "เรียงความเรื่องของแม่" อย่างน้อยหนึ่งหน้ากระดาษ ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจหรอกว่า ปีนึงมีตั้ง 365 วัน ทำไมคนทั้งประเทศถึงได้เลือกที่จะบอกรักแม่แค่วันนี้วันเดียว แต่ตอนนั้นฉันยังเด็กมากเกินกว่าที่จะเข้าใจอะไรมากไปกว่าที่จะรู้ว่า วันนี้ได้หยุดเพราะเป็นวันเกิดของพระราชินีของเรา เรื่องวันหยุดนี่สิ มีความหมายอันยิ่งใหญ่และมากมายกว่า
วกกลับมาถึงเรื่องการบ้าน "การเขียนเรียงความ" ซึ่งตอนนั้นสำหรับฉันแล้ว หน้ากระดาษนึงเนี่ยมันช่างใหญ่โตมากมายซะเหลือเกิน ใครจะเขียนอะไรได้มากมายขนาดนั้นนะ ด้วยความที่ห่วงเล่น ห่วงเพื่อนๆที่ล้อมวงรอคอยฉันให้ไปเล่นกระโดดยาง แหม ก็สมัยนั้นการเล่นกระโดดยางนั้นมันฮิตที่สุดนี่ เพื่อนๆในห้องส่วนใหญ่จะพกพา "หนังยาง" ที่เอามาร้อยกันยาวประมาณสองเมตรหรือยาวกว่านั้น ขึ้นอยู่กับว่า หนังยางที่คอยตะปบมากจากบรรดาถุงชาดำเย็น ถุงกาแฟ ตามข้างทางใครตาดี และตะปบได้ไว ก็จะมีหนังยางมากมายมาร้อยเล่นกัน แน่แหละเกมส์ "เป่ากบ" เนี่ยก็มันส์ไม่หยอกเลยหล่ะ แต่ฉันก็โดนคาดโทษ จะจากใครก็จากแม่นั่นแหละ บอกว่าการบ้านต้องเสร็จก่อน ถึงจะออกไปเล่นกับเพื่อนๆได้
กดดันกัน จริงๆสำหรับเด็กอายุแค่สิบขวบแบบฉันเนี่ยนะ ฉันไม่มีอะไรจะเขียนมากมายนักหรอก ก็อยู่ด้วยกันทุกวัน จำได้อีกเช่นกันว่า เย็นวันนึงฉันร้องไห้เพราะจะต้องหัดคัดภาษาอังกฤษ แต่ฉันเขียนตัวอักษรบางตัวไม่ได้ แม่ฉันตรงรี่เข้ามา ใช้ไม้บรรทัดตีผัวะๆๆ บนมือของฉัน ตั้งสามที ด้วยเหตุใดฉันไม่สนที่จะรู้หรอก แต่ขอบอกว่ามันเจ็บมากซะจน น้ำตาของฉันพุ่งออกมาแบบฉุกเฉินเกินกว่าที่จะห้ามได้ ฉันร้องไห้ไป เขียนไปจนกระทั่งเขียนได้ แล้วนี่จะให้เขียนเรื่องนี้ส่งเป็นการบ้านให้ครู ไม่น่าจะใช้ได้ เผลอๆครูก็อาจตีฉัน เพราะบทความนี้เค้าให้เขียนบรรยายถึงความรักที่มีต่อแม่
วันแม่ของ ทุกปี จะมีการจัดงานในโรงเรียน แต่ก็ไม่มีปีใดหรอกที่แม่ฉันจะปลีกตัวมางานที่โรงเรียนได้ เพราะแม่ต้องทำงาน ทุกคนไม่ว่าง โลกของวัยเด็กแบบฉัน ตอนนั้นมันช่างห่างไกลเกินกว่าที่จะเห็นว่า นี่คือปัญหา ในทางกลับกัน ฉันกลับชอบที่จะร่วมกิจกรรมของโรงเรียนทุกชนิด ตั้งแต่เสิรฟ์น้ำจัดโต๊ะเก้าอี้เป็นผู้ช่วยตัวน้อยๆของคุณครู การที่ไม่เห็นแม่ของฉัน ในงานวันแม่ที่โรงเรียนนั้นเลยไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับฉัน เพราะครูบอกว่า "มันก็แค่วันเดียวน่ะ อย่าไปคิดมาก" ครูพูดถูก พอวันรุ่งขึ้นที่วันแม่ผ่านไป ทุกอย่างก็เข้าสู่ปกติ(ในความรู้สึกของฉัน) อีกครั้ง
365 วัน กับหนึ่งวันที่ฉันต้องเขียนเรียงความเรื่องแม่ ตอนนั้นฉันแทบจะไม่ได้รู้สึกซักนิดว่า ความแตกต่างนั้นคือ 365 วัน คูณ สิบปี ที่แม่เฝ้าเลี้ยงดูฉันทุกวันและทำเช่นนั้นต่อไปโดยไม่มีการบ่น คุณค่าของวันแค่วันเดียวที่จะบอกรักแม่ สำนึกในพระคุณแม่ มันช่างเปรียบเทียบกันไม่ได้เอาซะเลย
เมื่อฉันเรียนจบ แม่ไปงานรับปริญญาของฉัน แม่ร้องไห้ในวันที่เห็นฉันรับปริญญา ฉันก็ยังไม่เข้าใจว่า "แม่ร้องไห้ทำไม" ไม่เข้าใจและไม่เคยคิดที่จะถาม ฉันใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่นเติบโตมากับคุณยายซึ่งอยู่คนละบ้านกับแม่ เราไม่ค่อยสนิทกันมาก และอีกนั่นแหละ ทุกครั้งที่เป็น "วันแม่" เราก็ไม่เคยที่จะได้อยู่ด้วยกัน แม่ก็มีกิจกรรมของแม่กับเพื่อนๆ หรือไม่ก็สัพเพเหระที่ฉันไม่ได้ใส่ใจ เพียงแค่รู้ว่า "วันแม่ 12 สิงหา" ของทุกปี คือวันหยุดราชการ !!!
เรียงความเรื่องแม่ของฉัน ดูเหมือนจะเป็นเรียงความที่เขียนไม่จบ เพราะเรื่องราวของชีวิตมันดำเนินไปรวดเร็วเหลือเกิน วันเกิดครั้งสุดท้ายที่แม่จัดให้ฉัน ถ้าจำไม่ผิดครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เป่าเทียนวันเกิดคงจะเป็นตอนที่ฉันอายุด ได้ แปดขวดเต็ม จากนั้นวันเกิดของฉันมันก็คือวันธรรมดาวันนึง ซึ่งก็เหมือนกับวันเกิดของแม่ ที่ฉันไม่เคยเห็นในความทรงจำว่ามันจะเป็นวันพิเศษอะไร
ครอบครัวเราไม่มีใครสนใจที่จะ "จัดงานวันเกิด" นี่คือสิ่งที่ฉันได้รับรู้ในเวลาต่อมา
แต่ มีอยู่เรื่องนึงที่คุณยายของฉัน พร่ำบอกฉันมาตลอดเวลา นั่นคือช่วงที่ "แม่ปวดท้องจะคลอดฉัน" ในโรงพยาบาล แม่ต้องทนปวดทรมานเป็นเวลาถึง 11 ชั่วโมง วันนั้นหมอและพยาบาลทุกคน รอคอยว่าถ้าอีกหนึ่งชั่วโมงนับจากนี้ไม่คลอด คงจะต้อง "ผ่าตัด" ความเจ็บปวดตรงนั้น คุณยายของฉันบรรยายได้แทบจะเห็นภาพตามไปด้วยทีเดียว หมอบอกว่า ฉันไม่ยอมกลับหัวลง ยังคงนอนขวางลำตัวของแม่ แต่ในนาทีสุดท้ายฉันก็กลับหัวลง และคลอดแบบธรรมชาติได้เอง
พอฉันได้ งานทำเป็นงานแรก และวันเกิดของฉันในปีนั้น ฉันไปหาแม่และพาแม่ไป "ทานอาหารที่แม่อยากทาน" ฉันซื้อดอกไม้ให้แม่ช่อใหญ่ ฉันบอกกับตัวเองตั้งแต่นั้นว่า วันเกิดของฉัน ไม่ใช่วันของฉันหรอก แต่มันเป็นวันของแม่ เป็นวันที่ฉันต้องขอบคุณ และต้องทำให้แม่มีความสุข แม่อดทนมากและให้ชีวิตนี้กับฉัน นี่คือสิ่งที่ฉันเริ่มทำให้แม่ ซึ่งในตอนนั้นฉันก็อายุยี่สิบต้นๆแล้ว และแน่นอนที่สุดในวัยนี้ วันแม่สำหรับฉัน ไม่ใช่เพียงแค่เฉพาะวันที่ 12 ของเดือนสิงหาคม อีกต่อไป แต่มันคือทุกวันและทุกโอกาสที่จะอำนวย ที่จะทำความดี หรือสิ่งเล็กๆน้อยๆให้แม่ได้มีความสุข
แม่มาจากฉันไปด้วยโรคมะเร็งใน ปอด ตอนที่ตรวจพบว่าแม่เป็นมะเร็งนั้น หมอบอกฉันว่า แม่คุณจะมีชีวิตอยู่ได้แค่อีก 6 เดือน ตอนนั้นฉันทำงานในโรงพยาบาลนี้ ฉันรู้จักคุณหมอเป็นอย่างดี แม่ถูกส่งตัวไปรักษาในโรงพยาบาลที่แม่มีประกันสังคมอยู่ โชคดีอยู่บ้างที่คุณหมอที่ฉันเคยทำงานด้วยนั้น ท่านทำงานที่โรงพยาบาลที่แม่เข้ารับการรักษาอยู่เช่นกัน
แปดเดือน แห่งความทรมานแบบแสนสาหัส ที่แม่บอกฉันถึง สิ่งเดียวที่ฝันและอยากจะให้ความฝันนั้นเป็นจริง นั่นคือ "การนอนหลับแบบสบายๆ ไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดเหมือนทุกคืน" แม่ขอเพียงแค่นั้นจริงๆ อาการหลังการให้การรักษาแบบคีโมนั้นเหมือนการตายทั้งเป็นในความรู้สึกของฉัน ฉันต้องเดินทางจากที่ทำงานเข้ากรุงเทพ เพื่อไปเยี่ยมแม่ และมีหลายหนที่แม่ลืมตามองฉัน และถามว่า "คุณเป็นใคร มาที่นี่ทำไม ต้องการอะไรจากฉัน ฉันไม่รู้จักคุณ ไม่เคยเห็นคุณมาก่อน" พอได้ยินแค่นั้นหัวเข่าฉันถึงกับทรุด ร้องไห้ออกมาแบบไม่อายใคร คุณหมอบอกว่านั่นคืออาการผลข้างเคียงจากการทำคีโม แม่จากไปอย่างสงบด้วยวัยเพียง 48 ปี สาเหตุที่เป็นมะเร็งในปอดนี้ เหตุหนึ่งคือ Secondhand Smoke ทั้งๆที่แม่เป็นคนไม่สูบบุหรี่ แต่ต้องมาตายด้วยโรคที่คนสูบบุหรี่ส่วนใหญ่เป็น
ในเวลานั้น ฉันรู้สึกกดดัน และยอมรับไม่ได้ว่าต้องมาเสียแม่ไป ความรู้สึกเดียวที่มีคือ "วันนี้ฉันสูญเสียผู้หญิงคนหนึ่งไป คนที่รักฉันมาตลอดทั้งชีวิต คนที่คอยปกป้องดูแลฉันมาตลอด คนที่ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายฉัน"
วันนี้ ฉันขอจบเรียงความเรื่องนี้ บางทีถ้าในตอนที่ฉันอายุสิบขวบ ในวันแม่ของทุกปี ถ้าคุณครูให้เขียนเรียงความในหัวข้อเรื่องที่ว่า "ถ้าฉันรู้ว่าแม่จะจากฉันไปเร็วแบบนี้ ฉันจะทำอะไรให้แม่ได้บ้าง..." มันคงจะเป็นหัวข้อเรียงความที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว ....
วันนี้ฉันได้เห็นความรักมากมายหลายรูปแบบ
ฉันได้เห็นคนหลายๆคนหมกมุ่นกับสิ่งที่จับต้องไม่ได้ในนามของ "ความรัก" ฉันได้เห็นหลายคนเสียน้ำตาเสียใจ เสียผู้เสียคน
เพียงเพราะ "คนอื่นไม่รักตอบ"
ฉันไม่เข้าใจว่าคนใกล้ตัวแบบพ่อแม่
ที่รักเรามาตั้งแต่เราลืมตาดูโลก...และรักแบบไม่มีเงื่อนไขนั้น
เราทำอะไรตอบแทนแล้วบ้าง
ฉันไม่มีโอกาสแบบหลายๆคนในวันนี้ ที่จะทำอะไรให้แม่ไปมากกว่าที่ฉันเคยได้ทำไป โอกาสฉันนั้นมันช่างน้อยเสียเหลือเกิน
แต่ทุกวันนี้ฉันอยากบอกทุกคนว่า พวกคุณโชคดีมากในชีวิตที่ทุกวันนี้ คุณยังมีคนที่รักคุณหมดหัวใจ รอคุณอยู่ที่บ้าน
เรียงความของฉันคงจะจบลงแต่เพียงเท่านี้
ขอขอบคุุณข้อมูลบทความจาก
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=299958