บทความจากวัยรุ่นคนหนึ่งถึงแม่ "Miss call สุดท้าย"
คนมีแฟนต้องอ่าน.....อย่าทำแบบนี้นะ!!!
ความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่เท่าความรักของ...................(ถ้าอ่านแล้วคงคิดเองได้นะ ว่าจะเติมใครลงในช่องว่าง)
อ่าน เจอบทความหนึ่งซึ่งทำให้สะท้อนถึงสังคมปัจจุบันที่่วัยรุ่นกำลังมี ความรักกับการใช้โทรศัพท์มือถือ ซึ่งถือเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและทันใจ
แต่เชื่อหรือไม่ว่า วัยรุ่นหลายคนในปัจจุบันเลือกที่จะโทรหาบุคคลอื่น ๆ ก่อนที่จะโทรหา "แม่"" ของตัวเอง
แด่เธอ… คนที่ฉัน ให้ความสำคัญน้อยไป
ผมก็เป็นอีกคนที่เหมือนวัยรุ่นทั่วๆ ไป
เรียน เที่ยว นอน กิน . . . ดึกๆ ผมก็โทรคุยกับแฟนของผม
ทั้งหมดเหล่านี้ มันก็เป็นกิจวัตรประจำวันของผม
และผมก็เชื่อว่าวัยรุ่นสมัยนี้เค้าก็ทำแบบนี้กัน (ความเข้าใจของผมนะ)
"จ้า ตัวเอง วันนี้กินข้าวรื้อยาง"
"กินกับอะไรบ้าง แล้วตอนกินตัวเองคิดถึงเค้ามั้ยเนี่ย"
"รู้มั้ยตัวเอง ถ้าเค้าเป็นผีเนี่ย เค้าอยากเป็นกระสือที่รักจะได้เห็นใจไง"
"ตัวเองวางก่อนดิ ก่อนดิ"
นี่คือประโยคต่างๆ ที่ผมได้คิด และคัดสรรเตรียมพร้อมมาต่างๆ ก่อนโทรหาแฟน
ในตอนดึกของทุกๆ วัน . . .
ผมยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการคุยโทรศัพท์ แต่ผมกลับรู้สึกว่า ระยะเวลาที่ผมใช้ไปนั้นไม่นานเลย
แต่ . . . พอรู้สึกอีกที มันกลับผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว
ผมก็ไม่ชอบนะ . . . หากใครจะมาว่าผมไร้สาระ
ก็ไม่เห็นเหรอคนส่วนใหญ่เค้าก็ทำกัน
ใครไม่ทำก็เชยเป็นบ้าแล้ว . . .
เอ้อ . . .เกือบลืมไปอีกอย่าง กิจวัตรอีกอย่างหนึ่งของผมก็คือ แม่ของผมมักชอบโทรหาผมทุกวัน
"ตอนนี้ลูกอยู่หอรึยัง"
"เย็นนี้กินข้าวอิ่มมั้ย"
"วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง"
"อย่าไปเที่ยวที่ไหนไกลนะ"
โธ่! คำถามเดิมๆ ผมก็ตอบไปแบบเดิมๆ
แม่ผมก็ไม่เบื่อซักที ยังคงโทรหาผมเป็นประจำ
โชคดี . . . ที่ผมพยายามตัดบทคุย ผมกับแม่น่ะคุยกันไม่กี่นาทีก็วางแล้ว ก็มันไม่มีอะไรจะคุยจะให้ผมทำยังไง
จนกระทั่งวันนั้น . . .
"ตัวเองตอบเค้าได้รึยังว่ารักเค้ามั้ย"
"เร็วๆ สิ เค้ายังอุตส่าห์บอกรักตัวเองไปแล้วนะ"
"แล้วยังจะใจร้าย ไม่บอกรักเค้าอีกเหรอ"
ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ เสียงจากโทรศัพท์บอกผมว่ามีสายซ้อน
ผมมองไปที่หน้าจอมันขึ้นชื่อว่า "Home"
"โธ่ แม่โทรมาทำไมตอนนี้เนี่ย กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลย"
ผมไม่สลับสาย . . . ผมยังคงคุยกับสุดที่รักของผมต่อไป เพราะผมรู้ว่า สิ่งที่แม่จะคุยกับผมก็คงเป็นประโยคเดิมๆ
และนั่นเป็นการตัดสินใจ . . . ที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของผม
หลังจากนั้นไม่นาน . . .
ทางญาติของผมโทรมาแจ้งผมว่า . . .
เมื่อคืนนี้บ้านของผมถูกขโมยเข้า และแม่ของผมขัดขืน และได้ต่อสู้กับโจร จึงถูกโจรใช้มีดแทงเข้าที่ท้อง
แม่เสียชีวิต เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
ญาติ ของผมเล่าอีกว่า . . . ตอนไปพบศพแม่นั้น ในมือของแม่กำโทรศัพท์ไว้แน่น และเบอร์โทรออกล่าสุดของเธอ ไม่ใช่โทรแจ้งตำรวจ หรือเรียกรถพยาบาล แต่แม่เลือกที่จะโทรหาผม
สิ่งสุดท้ายในชีวิต ที่แม่ผมเลือกที่จะทำคือ . . .
โทรศัพท์หาผมเพื่อฟังเสียงของผม วินาทีนั้นน้ำตาของผมไหลอาบแก้ม ผมพูดอะไรไม่ออก มือและตัวของผมสั่น
วันนั้น . . . ผมเลือกที่จะคุยกับแฟนผม ดีกว่าที่จะคุยกับแม่ของผม
ผู้หญิงคนเดียวในโลก ที่คุยกับผมเป็นคนแรกในชีวิต
ผู้หญิงคนเดียวที่ผมสามารถที่จะคุยกับเธอได้ทุกเวลา
โดยที่ผมไม่ต้องเตรียมบทพูดใดๆ ไม่ต้องกังวลว่าเธอจะประทับใจหรือไม่ ไม่ต้องมีมุข ไม่ต้องมีคำหวานใดๆ
คนเดียวในโลก ที่โทรมาหาผมเพียงแค่ฟังผมพูดประโยคเดิมๆ
คนเดียวในโลกที่ไม่ว่า โทรศัพท์เธอจะโปรโมชั่นแพงแค่ไหนก็ยังโทรหาผม และคนเดียวในโลก ที่เลือกคุยกับผมในวินาทีสุดท้ายในชีวิต
ในบางครั้งประโยคที่ว่า "ไม่มีคำว่าสาย หากเราคิดที่จะแก้ตัว"
มันก็ไม่เป็นความจริง "เพราะบางปรากฏการณ์ในโลก เกิดขึ้นได้แค่ครั้งเดียว" อาจเป็นเพราะเวรกรรมของผม
หลังจากนั้นไม่นาน แฟนผมที่ผมใช้เวลาคุยกับเธอวันหลายๆ ชั่วโมงก็ทิ้งผมไป
วันนี้ผมเริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้น
หลายๆ อย่างที่คนส่วนใหญ่ทำ มิได้หมายถึงสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป เพราะตัวเราเท่านั้นที่เป็นผู้ต้องรับผลการกระทำของเราเอง
"เราจะรู้ว่าสิ่งใดสำคัญ ก็ต่อเมื่อเราต้องเสียมันไป"
ทุกวันนี้ผมนั่งมองโทรศัพท์ รอที่จะตอบคำถามเดิมๆ ให้ผู้หญิงคนหนึ่งฟัง
แต่ . . . ผู้หญิงคนนั้นคงไม่มีอีกแล้ว
"ในเมื่อเรามีความรัก อันเต็มเปี่ยมจากครอบครัว แล้วทำไมต้องไปขอเศษเสี้ยวจากใคร"
รักแม่ ... ถึงจะไม่ใช่ "วันแม่" แต่เราก็สามารถทำดีและเอาใจใส่บุคคลที่เป็น "แม่" ของเราได้ทุกวันใช่มั้ย
รัก พ่อแม่ให้มากๆ น่ะ บนโลกนี้ไม่มีใครรักเราเท่าพ่อกับแม่ของเราแล้ว ความรักของแฟนหรือเพื่อนรวมกันทุกคน ยังไม่เท่ากับความรักของพ่อแม่เวลาท่านโมโหเลย